เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๘ เม.ย. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ อากาศร้อน แต่หัวใจเราไม่รุ่มร้อนไปกับอากาศนั้น ถ้าหัวใจเราไม่รุ่มร้อนไปกับอากาศนั้น เราเป็นคนมีสติปัญญาไง ถ้าเป็นคนมีสติปัญญา เวลาอากาศหนาว เราก็หาเครื่องนุ่งห่มมาเพื่อบรรเทาอากาศหนาว เวลาอากาศร้อน เราก็เข้าที่ร่มสิ ที่ร่ม ที่มุงที่บัง ที่มุงที่บังเพราะอะไร เพราะจิตใจเราเข้าใจได้ว่าอากาศมันร้อนเพราะมันเป็นฤดูกาล ถ้าอากาศร้อนเป็นเพราะฤดูกาล เราเป็นคนที่ไม่มีสติปัญญา เราไปอ้างเล่ห์ไง ร้อนนักก็ไม่ทำงาน หนาวนักก็ไม่ทำงาน ทุกอย่างไม่ทำงานหมดเลย เพราะคนมันขี้เกียจอยู่แล้วมันก็จะอ้างว่าไม่ทำงานๆ ไง

แต่ถ้าเราจะทำงาน ร้อนมันก็ทำงานได้ หนาวมันก็ทำงานได้ หลวงปู่ชอบท่านอยู่ที่จังหวัดเลย จังหวัดเลยเมื่อก่อนอุณหภูมิมันจะรุนแรงกว่านี้ เวลาหน้าหนาว น้ำเป็นน้ำแข็งเลยล่ะ เวลาท่านขี้เกียจ ท่านลงไปนั่งแช่ในน้ำแข็งนั่นเลย หลวงปู่ชอบนี่ ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำเกียรติประวัติไว้แต่ละองค์ ที่ท่านเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแต่ละองค์ ท่านทำเกียรติประวัติของท่านไว้ เพราะท่านมีความเข้มแข็ง ท่านทำความจริงของท่าน

แต่เราฟังประวัติของท่านแล้วบอก อู้ฮู! มันเกินไปๆ...มันเกินไปเพราะกิเลสมันเกินไปไง เพราะกิเลสมันเกินไป ทำอะไรมันก็เกินไปทั้งนั้นแหละ ถ้ามันมีมรรคขึ้นมาในหัวใจนะ มันพอดีไปทั้งนั้นแหละ มันพอดีเพราะอะไร พอดีเพราะมันบังคับกิเลสไม่ให้อ้างเล่ห์ไง มันอ้างว่าอย่างนั้น อ้างว่าอย่างนี้ อ้างว่าอย่างนั้นนะ มันอ้าง ไม่มีสิ่งใดมันก็จะอ้างอยู่แล้ว แล้วพอมีภูมิอากาศ มีต่างๆ มาอย่างนี้ มันอ้างสบายเลย แล้วสบาย “ปัญญาชน มีการศึกษา โอ๋ย! มันมีเหตุมีผล มันต้องเชื่อ”...ต้องเชื่อก็อยู่ในอำนาจของมันไง ถ้าอยู่ในอำนาจของมัน

เวลาการปฏิบัติ ในพระไตรปิฎก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ การปฏิบัติที่เราไม่ได้มรรคไม่ได้ผลกันนี้เพราะการปฏิบัติไม่เสมอต้นเสมอปลาย ไม่ปฏิบัติสม่ำเสมอ

การปฏิบัติสม่ำเสมอไม่ใช่ไฟไหม้ฟาง เวลาไฟไหม้ฟางนะ มีศรัทธามีความเชื่อขึ้นมา มุมานะ มีความองอาจกล้าหาญ เวลาจิตมันเสื่อมขึ้นมา เวลามันท้อมันถอยขึ้นมา ไฟไหม้ฟางมันท้อแท้ แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำเสมอต้นเสมอปลายไง ท่านเดินจงกรมอยู่ ท่านเดินจงกรมของท่าน เวลาของท่าน ท่านตั้งของท่านไว้ จิตจะลงหรือไม่ลงนั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ท่านจะทำความเพียรของท่าน ท่านตั้งใจของท่านเพื่อประโยชน์กับท่าน

ถ้าประโยชน์กับท่านอย่างนั้น การทำเสมอต้นเสมอปลายด้วยกิริยา ด้วยกิริยาคือการกระทำไง เวลาไง พิธีกรรมไง การกระทำไง แต่ใจมันยังเสมอต้นเสมอปลายหรือไม่ล่ะ ใจมันไม่เสมอต้นเสมอปลาย เพราะเท้าเราเดินจงกรมอยู่ แต่จิตใจมันเร่าร้อน เท้าเดินจงกรมอยู่ แต่จิตใจมันสงบร่มเย็น มันไม่เสมอต้นเสมอปลายเพราะเหตุผลมันไม่เพียงพอ ถ้าเหตุผลมันเพียงพอ มันเป็นไปได้ ความเป็นไปได้

มนุษย์เป็นสัตว์มหัศจรรย์ มนุษย์เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ดูสิ เวลาคนเราพลังงานที่มันเหลือใช้ พลังงานที่เวลามันเกิดวิกฤติที่มันแสดงตัวออกมา นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันสงบขึ้นมา มันมีกำลังของมัน มันเป็นความมหัศจรรย์ไง จิตนี้มหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์มากเมื่อเราค้นคว้า เราค้นพบมันแล้ว ค้นพบมันแล้ว สิ่งนี้เป็นความมหัศจรรย์นั้นเรายกขึ้นสู่วิปัสสนา พอวิปัสสนา เวลามันวิปัสสนา ถ้าสมาธิมันเข้มแข็งหรือสมาธิมันรุนแรง มันก็เห็นด้วยความคมกล้า เห็นด้วยความชัดเจนอย่างนั้น แต่มันไม่สมดุลเพราะกิเลสมันก็อาศัยสิ่งนั้นบังเงาไป เวลาสมาธิ กำลังของเราไม่มั่นคง ทำสิ่งใดท้อแท้อ่อนแอไปหมดแหละ จะเห็นสิ่งใดมันก็ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน มันไม่มัชฌิมาปฏิปทา

แม้แต่ความคมกล้าเกินไปมันก็เป็นทางครอบงำของกิเลสได้ เวลาอ่อนแอขึ้นมามันก็เป็นความครอบงำของกิเลสได้ แล้วมันพอดี พอดีของใคร พอดีอย่างไร พอดีอย่างไรมันต้องมีการกระทำของเรา เราทำของเรา สิ่งที่เราฝึกหัดฝึกฝนของเรา สิ่งที่มันผิดพลาดไป ออกมา เรามาทบทวน เราก็เข้าใจได้ เวลาถ้ามันพอดี มันสมดุลของมัน สมดุลของมัน แต่มันยังไม่สมุจเฉทปหาน เราก็เข้าใจได้ พอเข้าใจได้ นี่เปรียบเทียบแล้วพยายามค้นคว้า พยายามกระทำของเราขึ้นมา

คนเราถ้ามันมีสติมีปัญญา มันทำอย่างนั้น เวลาทำของเรา ไม่ใช่เราทำเอาหัวชนฝา เคยทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทำแล้วทำเล่าอย่างนั้น มันไม่ทบทวน ไม่ใช้สติปัญญาของเราแยกแยะออกมาว่ามันควรหรือไม่ควร ดูชีวิตของเราสิ เวลาเราเกิดขึ้นมา มันเป็นเวล่ำเวลาของเรา มันเป็นยุคสมัยของใคร ยุคสมัยของเขาก็เวลาของเขา เวลาของเขา ยุคสมัยของเขา เวลาคนรุ่นใหม่มา เขาจะไม่มีประสบการณ์เหมือนชีวิตของเรา ดูสิ เราเกิดมาไม่ทันสงครามโลก ผู้ที่ผ่านสงครามโลกครั้งที่ ๒ มา เขาจะรู้ว่าชีวิตของเขามันมีความทุกข์ยากอย่างไร เขาจะเก็บหอมรอมริบอย่างไร เขาจะกระเหม็ดกระแหม่อย่างไร เพราะเวลามันเกิดช่วงสงครามขึ้นมาเขามีความทุกข์ยากขนาดไหน สิ่งของสิ่งใดมันมีค่าไปหมดแหละ ไอ้ของเราเดี๋ยวนี้ของทุกอย่างเป็นของฟุ่มเฟือยหมดเลย มันเป็นของที่ไม่สมควรเก็บไว้หมดเลย นี่ยุคสมัยมันสอนคนไง เขาผ่านของเขามา เขาเห็นของเขามา นี่ยุคสมัยของเรา เราเกิดมาปัจจุบัน ทุกอย่างมีความสะดวกสบายไปหมด ทุกอย่างดีงามไปหมดเลย “โอ๋ย! กิเลสๆ ไม่รู้จัก ฉันมีแต่ความสุขไง”

กิเลสไม่รู้จัก แต่มันเผาลนหัวใจนะ หัวใจเวลามันเหงามันหงอย มันเศร้าสร้อยไง อยู่คนเดียวมันคอตกอยู่คนเดียว ดูสิ เวลาคน เรามีเพื่อนพระเขาเป็นเศรษฐีอยู่ทางตะวันตก เขาบอกว่านิ้วเขาวิเศษ คือชี้สิ่งใดได้หมดเลย เขาเป็นลูกชายคนเดียว จะเอาอะไรก็ได้ เอาอะไรก็ได้ ชี้ได้หมด เพราะมีลูกคนเดียว พ่อแม่ให้ทั้งนั้นเลย เขาบอกว่าเขาได้ทุกอย่างในโลกนี้เลย มันก็ยังไม่พอใจๆ สุดท้ายแล้วเขาพยายามจะฆ่าตัวตาย เพราะมันไม่รู้จะเอาอะไร มันเอาอะไรมันก็ได้หมดๆ ได้หมดเลย แต่ใจมันไม่พอใจ

ทีนี้พ่อเขามาเห็นเข้าเขาบอก “เฮ้ย! เอ็งอย่าทำอย่างนี้เลยนะ เอ็งไปเที่ยวรอบโลกไป” เอาเงินให้ไปเที่ยวรอบโลก เขาก็เที่ยวมารอบโลก เพราะพ่อเขามีธุรกิจใหญ่อยู่ทางตะวันตก แล้วเขามีลูกคนเดียว เขาเที่ยวมาถึงอินเดีย เขาก็มาเห็น เขาอยากศึกษา เขาเลยมาบวช เขามาพูดให้ฟัง นี่เขาพูดให้ฟังว่า เราไม่เคยเจอชีวิตแบบนี้ เพราะชีวิตเราไม่สะดวกสบายแบบนี้ เราไม่ใช้นิ้ววิเศษ เราไม่เคยประสบการณ์แบบนี้

แต่คนเจอประสบการณ์แบบนี้เขาเจอจริงๆ เขาบอกว่าเขาอยากได้อะไรได้หมดแหละ ในโลกนี้ทางโลกที่เขาได้เสพสุขกันอยู่ เขาทำทุกอย่าง เขาทำทุกอย่างเพราะเขามีเงินซื้อได้หมด เขาซื้อได้ทุกอย่างเลย ทุกอย่างที่ทำมา ยาเสพตกเสพติดเขาเสพมาจบเต็มที่หมดแล้ว ทำมาทุกอย่าง แต่สุดท้ายแล้วมันไม่รู้จะอยากอะไร ไม่รู้จะอยากอะไร ก็เลยจะฆ่าตัวตาย นี่พูดถึงว่าเวลาคนที่ว่า “โลกนี้ไม่เห็นมีอะไรเลย กิเลสไม่เห็นมีอะไรเลย เราเป็นคนยุคใหม่ เรามีความสะดวกสบายไปหมด เราเป็นปัญญาชน เราบริหารจัดการได้”...ขี้โม้ กิเลสมันก็เผาลนอยู่นั่นล่ะ กิเลสมันก็กิเลสนั่นล่ะ กิเลสมันอยู่ในหัวใจนั่นล่ะ

คนที่จะสู้กับมันได้ต้องมีสติปัญญา สติปัญญาของเรา เห็นไหม เรามาวัดมาวาไง ฤดูกาล ถ้าเรามีธรรมะในหัวใจขึ้นมา สรรพสิ่งในโลกนี้มันมีของมันอยู่อย่างนั้น เราเกิดมาอยู่กับเขา เราอยู่กับเขา เราจะบริหารจัดการเขาอย่างไร แล้วความเพียรของเราให้มันต่อเนื่อง

กล้าอ่อน เวลาเราเกิดหน่อพุทธะที่มันจะเกิดในหัวใจของเรา ศรัทธาความเชื่อสำคัญมากนะ ถ้ามีศรัทธามีความเชื่อ มันลากให้เราไปสนใจ ลากให้เราไปสนใจ ให้เราค้นคว้า ให้เราไปศึกษาไง เวลามันต้องมีศรัทธามีความเชื่อลากให้จิตใจของเรามาค้นคว้ามาศึกษา วิชาการทางโลกมันเป็นวิชาชีพ เรียนเข้าไปเถอะ เรียนเข้าไป ใครมีปัญญาเรียนเข้าไป ไม่มีวันจบหรอก ค้นคว้าไปเรื่อย เพราะว่าเขาต้องต่อยอดความรู้ของเขาไป แต่เวลาสัจธรรมมันทวนกระแสกลับเข้าไปในหัวใจ ภวาสวะ ภพชาติที่มันเกิด ปฏิสนธิจิตมันอยู่ที่ไหน ตัวตนของเราอยู่ที่ไหน ทุกคนรู้ทุกอย่างไปหมดเลย แต่ไม่รู้จักตัวเอง

รู้ เวลาจะตายก็ต้องออกใบมรณบัตรนะ มรณบัตรแล้วก็ไปแจ้งว่าคนคนนี้ได้ตายแล้ว นี่ไง ให้มันจบสิ้นไป แล้วมันก็ไม่ตาย เพราะมันเกิดใหม่ มันหามันไม่เจอไง มันหาไม่เจอ แต่ถ้าเราเกิดมา เรามีศักยภาพ เราเป็นมนุษย์ หน้าที่การงานเราก็มี เราไม่ใช่คนเกิดมาแล้วก็งอมืองอเท้า “ฉันเป็นนักปฏิบัติธรรม ฉันไม่ทำอะไรเลย การปฏิบัติธรรม นั่นเป็นโลก” ไอ้นี่มันก็สุดโต่งไง “ฉันเป็นนักปฏิบัติธรรม”

ทำงานทำงานเพื่อสัมมาอาชีวะเพื่อเลี้ยงปาก เลี้ยงปากไว้ รักษาชีวิตนี้ไว้เพื่อค้นคว้า การค้นคว้า ฉันปฏิบัติธรรม ฉันทำหน้าที่การงาน ฉันมีสติมีปัญญา มีความกระทบกระเทือนกันในหน้าที่การงานนั้นเราก็ยิ้มแฉ่งเลย ดูสิ โลกเป็นแบบนี้ มันมีการเอารัดเอาเปรียบกัน นี่เวลากิเลสกับกิเลสมันไฟท์กัน ดูสิ มันทะเลาะเบาะแว้งกัน มันมีแต่ความแย่งชิงเอาใหญ่เอาโต เราก็ยิ้มของเรา เพราะว่าเราก็ทำกับเขาอยู่นี่ เราก็อยู่ในขบวนการนี้แหละ แต่ของเรา เรามีสติมีปัญญา เรามีสัจธรรม เรานักปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมปฏิบัติอย่างนี้ ปฏิบัติถ้ามีสติปัญญา มันใคร่ครวญ มันแยกแยะ เราอยู่กับเขาโดยที่มีสติปัญญา นี่เพราะอะไร เพราะว่าเราเกิดมาเป็นโลกไง เราเกิดมาอยู่กับโลกไง

แต่ถ้าเราทำของเรา ถึงเวลาที่ว่าเราจะแยกตัวของเราออกมา เนกขัมมบารมี เราออกมา เราแยกออกมาเพื่อประพฤติปฏิบัติ จริงหรือเปล่าล่ะ มาได้เลย ดูสิ ปฏิบัติ ปัจจัย ๔ มีให้พร้อม เราจริงหรือเปล่า ทำต่อไปเต็มที่เลย

“โอ๋ย! ไม่ได้ เดี๋ยวมันเจ็บไข้ได้ป่วย”

เจ็บไข้ได้ป่วยไม่ต้องห่วง ที่นี่หมอเยอะมาก หมอมาปฏิบัติที่นี่เยอะแยะ เจ็บไข้ได้ป่วยเดี๋ยวหมอดูแลให้ อย่าให้กิเลสมันครอบงำ

นี่พูดถึงว่า ปัญญาชนจะบอกว่า “โลกนี้มันเจริญ ทุกอย่างเจริญแล้ว ไม่ต้องมาปฏิบัติเคร่งครัดขนาดนั้น ทำไมต้องทำทุกข์ยากขนาดนั้น”

การเคร่งครัดไม่ได้เคร่งครัดกับใครหรอก การเคร่งครัดก็พยายามปิดล้อมกิเลสในใจของเรานี่แหละ หลวงปู่มั่นท่านพูดไง เวลาท่านเทศนาว่าการ ปลาในสุ่มๆ ท่านบอกปลาในสุ่มมันยังจับไม่ได้ ปลาในสุ่ม ดูร่างกายเราสิ ร่างกายเหมือนสุ่ม แล้วมันครอบงำจิตใจเราไว้ในร่างกายนี้ ของอยู่ในตัวเรา เรายังจับมันไม่ได้ ปลาในสุ่มมันยังจับไม่ได้ แล้วมันจะไปจับปลาในแม่น้ำ มันจะไปจับปลาในทะเล ปลาในทะเลก็สังคมโลกนี่ไง ปลาในแม่น้ำก็สังคมของเรา ในบ้านของเราไง ถ้าปลาในสุ่มก็ในหัวใจเรานี่ไง ปลาในสุ่มมันยังจับไม่ได้ มันยังจับไม่เป็น แล้วมันจะไปจับปลาในทะเล มันจะไปจับปลาในแม่น้ำ จะไปจับปลาได้อย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา เราก็ตั้งใจของเรา กำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิเข้ามาในหัวใจของเรา เวลาทำงานๆ ทำงานเราก็ปฏิบัติธรรม เขาว่าปฏิบัติธรรมอยู่ในหน้าที่การงาน เพราะเรามีสติปัญญา เอาธรรมะนั้นมาชโลมหัวใจของเรา เอาธรรมะนั้นเป็นเครื่องธรรมโอสถ อย่าให้มันทุกข์ร้อน เห็นการกระทบกระเทือนกันเราก็เดือดร้อนไปด้วย

แต่เรากระทบกระเทือนกัน เรามีสติปัญญา เราคุมเกมนั้นได้ แล้วเราเห็นถูกเห็นผิดด้วย แล้วเรายังรู้เท่าความรู้สึกนึกคิดเราด้วย รู้เท่าอารมณ์ที่มันจะฟูขึ้นมา รู้เท่าสิ่งที่มันจะเฉา มันจะเหงามันจะหงอย มันจะเบื่อหน่ายกับชีวิตไง มันเบื่อหน่ายมาก เราก็เป็นคนดีๆ คนหนึ่ง ทำไมเราต้องมาทนอยู่ในเหตุการณ์อย่างนี้ ทำไมเราต้องมาทนอยู่ในสภาวการณ์แบบนี้ สภาวการณ์แบบนี้ก็ภวาสวะไง ก็ผลของวัฏฏะไง ก็ผลของเวรของกรรมไง เพราะเราได้ทำบุญร่วมกันมาไง เราถึงมาเกิดในสถานะอย่างนี้ อยู่ในสภาวะแบบนี้

แต่เรามีสติปัญญาพาหัวใจเราให้พ้นสภาวะแบบนี้ออกมาได้ แล้วถ้าเรามาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะพาใจของเราให้รอดพ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย นี่ศักยภาพของมนุษย์ไง ถ้าศักยภาพของมนุษย์ มันมหัศจรรย์ ของที่มันมีอยู่ แบตเตอรี่ ดูสิ เขาชาร์จไฟขึ้นมา ไฟเต็มแบตเลย พอไฟมันหมดนะ แบตไม่มีไฟ

นี่ก็เหมือนกัน เรามีหัวใจ มันมีไฟ มีไฟอยู่ในร่างกายนี้ แต่ทำไมมันไม่มีค่า ไฟเราไม่เห็นมันไง ไฟในแบตเราไม่เห็นมัน ไปจับมันสิ เวลาโบกรถมันช็อต มันก็เห็นไฟ นี่ก็เหมือนกัน หัวใจมันมีอยู่ในร่างกายนี้ แต่จับมันไม่ได้ หามันไม่เจอไง

ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ ของในตัวเรานี่แหละเราพยายามรักษา ไม่ใช่ว่าเราเห็นแก่ตัว ไม่เอาอะไรเลยสักอย่าง...ไม่เอาอะไรเลย มาปฏิบัติก็ไม่ได้อะไรเลย เขาเอา เอาสติ เอาสมาธิ เอาปัญญา เขาค้นคว้า ขวนขวาย แสวงหา เขาเอา เอาสิ่งที่เป็นนามธรรม เอาสิ่งที่มีค่านี่แหละ สิ่งที่เหนือโลกนี่แหละ เขาเอา แล้วเขาเอา เขามีสติปัญญารักษาของเขา ไม่ใช่ว่า “อู๋ย! ไม่เอาไหนเลย พวกนี้ไม่เอาไหนเลย ตัดหางปล่อยวัด พวกนี้ตัดหางปล่อยวัด คนไร้ค่า”

คนไร้ค่ามันจะมีค่า มีค่าขึ้นมาจากสัมมาสมาธิ มีคุณค่าจากหัวใจ เพราะเขาเห็นคุณค่านี้มากกว่าโลกไง คนเขาแสวงหากัน มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ โลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่บีบคั้นหัวใจ โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่เคยเต็ม แต่ใครมาประพฤติปฏิบัติถ้าเป็นสัจจะความจริงขึ้นมา มันอิ่มเต็มขึ้นมาในใจนั้น แล้วใจนั้น จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งนะ ใจดวงนั้นที่พึ่งพาอาศัยได้ คนคนนั้นอาศัยได้ คนคนนั้นเขาก็ควบคุมใจของเขาได้ เขาควบคุมใจเขาได้นะ

แล้วถ้าปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ ธรรมธาตุ ไม่มีสิ่งใดในนั้น แต่มันมีของมันอยู่ มีของมันเพราะอะไร เพราะมันไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันต้องมีเจ้าของ มีผู้บริหารจัดการ

เวลาเกิด แก่ เจ็บ ตายบริหารไม่ได้ เกิดมาแล้วถึงเป็นเรา เกิดมาแล้วถึงรู้ เกิด แก่ เจ็บ ตายบริหารไม่ได้ มันเป็นแรงขับของเวรของกรรม แต่เวลาคนที่เขาจัดการเสร็จสิ้นไปแล้ว วิมุตติสุข เขาจัดการของเขาได้ เขาอยู่ของเขาได้ แล้วไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย นี่ศักยภาพของมนุษย์ มนุษย์ทำได้ แล้วเราก็แสวงหาอยู่นะ เพราะอะไร เพราะมันเป็นสิ่งที่มีค่าในพระพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ แล้วเราแสวงหา เรามาประพฤติปฏิบัติธรรมๆ

ธรรมอะไรล่ะ ก็ธรรมะเป็นธรรมชาติ ก็โยนให้ธรรมชาติมันไปเสีย จิตใจไม่เคยดูแลมันเลย อะไรก็เป็นธรรมชาติ อะไรก็เป็นธรรม แล้วใจเอ็งอยู่ไหน

กว่าจะมาเจอธรรมชาติได้เราต้องมีสัจธรรมในใจสิ สัจธรรมในใจ เราอยู่กับโลกโดยไม่ติดโลก ธรรมชาติมันก็อยู่ของมันไง ธรรมชาติ อากาศ ภูมิอากาศ เราก็อาศัยอยู่นี่ไง มันเป็นธรรมชาติไง แต่ใจของเรา ใจของเราอยู่กับธรรมชาตินี้โดยความเข้าใจทะลุปรุโปร่ง ไม่ทุกข์ไม่ร้อนไปกับฤดูกาลนี้ไง นี่ไง ถ้ามันมีธรรมในใจมันก็เป็นธรรมชาติ ถ้าไม่มีธรรมในใจมันก็เดือดร้อน มันเดือดร้อนมาจากข้างใน แล้วธรรมชาติก็บีบคั้นซ้ำเข้ามา

แต่ถ้าเป็นธรรมๆ เป็นธรรมแบบนี้ เราแสวงหา แสวงหาอย่างนี้ ให้เป็นความจริงแบบนี้ ผู้ที่มีความจริงขึ้นมาแล้วมันจะรู้จักหัวใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา ฟังธรรมๆ เพื่อหัวใจดวงนี้ เอวัง